เนื้อหาบทที่6 เรื่อง ดาวฤกษ์

ดาวฤกษ์ (stars)
ดาวฤกษ์เกิดจากการหดตัวของฝุ่นแก๊สระหว่างดวงดาว (interstellar dust) เมื่อกลุ่มแก๊สเหล่านี้หดตัวและสะสมมวลมากพอก็จะเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวส์ชันกลายเป็นดาวฤกษ์ ดาวฤกษ์อยู่รวมกันเป็นกลุ่มในกาแล็กซี กาแล็กซีทั้งหมดอยู่ในเอกภพ  ดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้โลกมากที่สุดคือ ดวงอาทิตย์ ซึ่งอยู่ห่างเป็นระยะทางประมาณ 150,000,000 กิโลกเมตร นักดาราศาสตร์สามารถคำนวณมวล อายุ ส่วนประกอบของดาวฤกษ์ และสมบัติทางกายภาพอื่น ๆ ได้จาก สเปกตรัม ความส่องสว่าง (luminosity) และการเคลื่อนไหวของดาวฤกษ์นั้น ๆ ในการศึกษาสมบัติทางกายภาพของดาวฤกษ์ข้อมูลที่สำคัญอย่างแรกคือระยะห่างระหว่างดาวดวงนั้นกับดวงอาทิตย์ โดยหน่วยวัดระยะทางทางดาราศาสตร์แบ่งเป็นหน่วยต่าง ๆ ได้ดังนี้
1.    หน่วย AU (Astronomical unit) เหมาะสำหรับดาวฤกษ์ที่อยู่ไม่ไกลมากนัก โดย 1 AU =  1.496 x 108 กิโลเมตร
2.    หน่วยปีแสง (ly) เป็นระยะทางที่แสงเดินทางได้ใน 1 ปี1    ปีแสง    =    9.5  x 1012     กิโลเมตร
3.    หน่วย parsec (pc) คือระยะทางที่ทำให้ค่ามุม parallax ของดาวดวงนั้นมีค่าเท่ากับ 1
 ฟิลิปดา (คำว่า parsec มาจากคำว่า parallax second)     
1    pc    =    206,265 AU    =    3.08 x 1012 กิโลเมตร    =    3.26 ปีแสง

รูปแสดงระยะทาง 1 pc (not to scale)


                                                                               รูปที่ 1 แสดงการจำแนกดาวฤกษ์ตามสเปคตรัม


โชติมาตรโชติมาตรที่ 1โชติมาตรที่ 2โชติมาตรที่ 3โชติมาตรที่ 4โชติมาตรที่ 5โชติมาตรที่ 6
  ระดับความสว่าง
ที่สามารถมองเห็นได้
มองเห็นสว่าง ที่สุด  มองเห็นสว่าง
ค่อนข้างมาก
มองเห็นสว่าง ปานกลาง  มองเห็นสว่าง
พอใช้
  มองเห็นสว่าง
เล็กน้อย
แค่พอมองเห็น ได้ด้วยตาเปล่า




วิวัฒนาการของดาวฤกษ์ 

สิ่งที่สังเกตได้ง่ายของดาวฤกษ์คือความสว่างและสี เราสามารถจำแนกดาวตามสเปคตรัมซึ่งเรียกว่า “Draper classification” โดยใช้อักษรในการเรียกชื่อกลุ่ม เริ่มจากกลุ่มที่มีอุณหภูมิสูงไปยังอุณหภูมิต่ำ ได้แก่กลุ่ม O, B, A , F, G, K และ M และต่อมาพบว่าต้องมีการแบ่งกลุ่มละเอียดลงไปอีก จึงได้แบ่งแต่ละกลุ่มออกเป็น 10 กลุ่มย่อย โดยใช้ตัวเลขเพิ่มเข้าไป

             1.ฤกษ์เกิดมาโดยมีมวลไม่เท่ากัน โดยดาวเหล่านี้จะใช้ปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบ p-p reaction และดาวเหล่านี้จะอยู่ในระยะ (stage) ของดาวบนแถบกระบวนหลัก (Main sequence)
                 2.    ดาวฤกษ์จะอยู่บนแถบกระบวนหลัก (Main sequence) เป็นเวลานานเพียงใดขึ้นอยู่กับมวลของดาวดวงนั้นเพราะความสุกสว่าง (Luminosity) ของดาวขึ้นอยู่กับมวลตามความสัมพันธ์
                               L      α    M3.5                      
ดังนั้น ดาวที่มีมวลมากจะวิวัฒนาการจากแถบกระบวนหลัก (Main sequence) ได้เร็ว
3.    ดาวฤกษ์ที่มีมวลมากจะวิวัฒนาการออกจากแถบกระบวนหลัก (Main sequence) ไปเป็นดาวยักษ์แดง (Red giant)
4.    วิวัฒนาการจากแถบกระบวนหลัก (Main sequence) --> ดาวยักษ์แดง (Red giant) เป็นไปอย่างรวดเร็วทำให้เกิด Hertzsprung gap ขึ้น
5.    วิวัฒนาการของดาวฤกษ์จากแถบกระบวนหลัก (Main sequence) สามารถแยกย่อยออกเป็นระยะ stage ต่างๆ ขึ้นอยู่กับมวลของดาวดวงนั้น
-    เข้าสู่ Subgiant branch of hydrogen shell burning (SGB)
-    เข้าสู่ Red Giant branch (RGB)
-    เข้าสู่ Helium core burning (HB)
-    เข้าสู่ Asymptotic giant branch during hydrogen and helium burning (AGB)
-    และ post-AGB วิวัฒนาการไปเป็น White dwarf (P-AGB)



มาลองทำแบบฝึกหัดกันจ้ะ